Saturday, May 28, 2016

เมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ปี 2559 ตามคำทำนายดาวมฤตยูจริงหรือไม่

เหตุการณ์บ้านเมืองส่อเค้าว่าเมืองไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ มีการสูญเสียบุคคลสำคัญของบ้านเมือง มีการปฏิรูปทั้งด้านการเมือง ศาสนา การศึกษา ทำให้ไทยตกอยู่ในสายตานานาอารยประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโลก ประจวบเหมาะกับที่โหรหลายสำนักได้ทำนายการโคจรของดาวมฤตยู (หรือดาวยูเรนัส: Uranus) เคลื่อนทับดวงเมืองซึ่งเป็นราศีเมษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2559 ซึ่งเคยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมาแล้ว โดยในปี 2392 เกิดอหิวาตกโรคระบาด และต่อมาในปี 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากนั้น ในครั้งนี้โหรดังทำนายว่า กรรมจะบันดาลเหตุเภทภัยกับผู้ที่นินทาจาบจ้วงพระสงฆ์  ท่านทั้งหลายกำลังเชียร์ฝ่ายใด หรือคิดเห็นในทางใด จะวิเคราะห์ได้ตรงจริงหรือไม่ มาติดตามอ่านกัน


โหรหลายสำนักออกมาทำนายทายทัก ไปในทิศทางเดียวกันว่าวันที่ 6 มีนาคม 2559 เป็นวันที่ดาวมฤตยูเคลื่อนทับดวงเมืองซึ่งเป็นราศีเมษ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 84 ปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดในปี 2475 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3ในรอบรัตนโกสินทร์ 200 ปี ดังนั้นจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นทั้งเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองและเรื่องของบุคคลสำคัญ

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของระบบสุริยจักรวาล ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเขียวแก่ โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 84  ปี มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50,000 กิโลเมตร ซึ่งจะมองเห็นได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ วงแหวนของดาวยูเรนัสมีความมืดมากเมื่อเทียบกับวงแหวนของดาวเสาร์

อาจารย์ลักษณ์ เลขานิเทศ อธิบายว่า ในทางโหราศาสตร์ ดาวมฤตยูโคจรย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ดาวดวงนี้จะโคจรโยกย้าย ทุก 7 ปีครั้งหนึ่ง ทีนี้ ราศีมันมี 12 ราศี กว่าจะโคจรครบรอบราศีเมษอีกครั้งอย่างนี้ ใช้เวลา 84 ปี แล้วเมื่อ 84 ปีที่แล้วมันเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ

จากนี้เป็นต้นไป ก็จะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ  เพราะว่าดวงเมืองเนื่ย ดาวดวงนี้เป็นสหัชชะ หมายถึงว่า ดาวมฤตยูเป็นเพื่อนกับดวงเมืองเรา เมื่อท่านโคจรโยกย้ายทับดวงเมืองก็แปลว่า เพื่อนจะมาหา ต่างชาติหลายประเทศจะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่น่ามาลงทุน น่ามาท่องเที่ยว นี่เป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศไทย

ในขณะที่ดาวมฤตยูโคจรโยกย้ายเนี่ย อะไรที่มันเป็นปัญหาทางการเมืองก่อนหน้านี้ มันก็จะจบปัญหาไปในทางที่ดี ผู้ใหญ่ก็จะมีสติ พระสงฆ์ท่านก็จะมีเมตตา ประชาชนก็จะช่วยเป็นกำลังใจให้รัฐบาลนำพารัฐนาวานี้ให้ก้าวไป เพราะตามพื้นดวงเมืองรัตนโกสินทร์ วางดาวทหารนำหน้าชะตาเมือง ทหารกับเมือง คุ้มกันเกื้อกูลรักษามายาวนาน บัดนี้อาจจะมีปัญหาอะไรที่เกิดขึ้น ทหารก็เข้ามาแก้ปัญหา

ปรากฏการณ์ในวันนี้ ดาวมฤตยู ก็คือ ความเด็ดขาด  ปรับจากสิ่งที่ไม่ถูกเป็นสิ่งที่ถูก แต่ว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป สถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลาย ใครยังฝืนที่จะทำจารีตไม่ให้เป็นจารีต ประเพณีไม่ให้เป็นประเพณี จะมีเหตุเภทภัยที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์


วันนี้ คนทั้งหลาย ประชาชนทั้งหลาย ไปนินทาจาบจ้วงสงฆ์มาก ไปด่าไอ้โล้น ไอ้ชั่ว นี่ท่านมีศีล 5 นะ ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง พระพุทธองค์ไม่ได้อนุญาต แล้วท่านไม่เคยรู้เรื่องพุทธบัญญัติ ไม่เคยรู้เรื่องหลักธรรมข้อนี้เลย สงฆ์จะจัดการกันเอง ไม่มีสิทธิ์เลยที่ฆราวาสจะไปชี้โทษสงฆ์ สงฆ์จะจัดการกันเอง และจัดการไม่ได้ กฎแห่งกรรมจะลงโทษ เพราะฉะนั้นใครที่ทำแบบนี้ จะเกิดเหตุเภทภัย ทำมาค้าไม่ขึ้น

พระพรหมมังคลาจารย์ ท่านเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ออกมาเตือนประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนก อย่ามาวิตกในเรื่องนี้ เพราะว่าดาวมฤตยูไม่ได้หมายถึงความตายเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระดับโลก

อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่าจะมีการศูนย์เสียบุคคลสำคัญของบ้านเมือง จะเกิดภัยธรรมชาติโดยเฉพาะภัยที่เกิดจากน้ำ ไฟจะไหม้บ่อยขึ้น ดินถล่ม แผ่นดินทรุด แผ่นดินไหว ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2392 เกิดอหิวาตกโรคระบาดในพระนคร มีคนตายสามหมื่นกว่าคน ปี 2475 คณะราษฎร ทำการปฏิวัติ ซึ่งเริ่มต้นโดยนายปรีดีย์ พนมยงค์ และประยูร ภมรมนตรี  ตั้งแต่เป็นนักเรียนในประเทศฝรั่งเศส โดยได้ยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นการปฏิวัติสยาม ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงการนองเลือด ใช้วิธียึดอำนาจโดยฉับพลัน เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศสยามจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เนื่องจาก รัฐบาลต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจที่ร้ายแรงและภัยคุกคามจากต่างประเทศ รวมถึงประชาชนระดับชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานครขยายจำนวนขึ้น ต้องการสิทธิเพิ่มมากขึ้นจากรัฐบาลซึ่งถูกวิจารณ์ว่าไร้ประสิทธิภาพ

Monday, May 9, 2016

ภัยจากผู้อพยพ ตอนที่ 3

ผู้ก่อการร้ายที่จุดระเบิดพลีชีพที่ Stade de France คือ นาย Bilal Hadfi อายุ 20 ปี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่เขต Forest กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม หน่วยสืบสวนของฝรั่งเศสระบุรายนามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อวินาศกรรมจำนวน 11 คน ในจำนวนนี้มีทั้งสิ้น 7 คนที่ทำระเบิดพลีชีพและเสียชีวิตแล้วทั้งหมด โดยสันนิษฐานว่ามีผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังอีกคน คือ นาย Abdelhamid Abaaoud อายุ 28 ปี หนึ่งในนักรบญิฮาด (Jihadist) ซึ่งมีต้นสังกัดอยู่ที่ประเทศซีเรีย ซึ่งได้ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ถนน St Denis ในวันที่ 5 หลังการก่อการร้ายในปารีส เป็นชาวเบลเยี่ยมที่เติบโตในเขต Molenbeek  กรุงบรัสเซลส์  ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้อพยพชาวอาหรับและอยู่ในภาวะตกต่ำจากปัญหาคนตกงานจำนวนมาก 



ผู้ต้องหาคนสำคัญที่ไม่ยอมทำการระเบิดพลีชีพในเหตุการณ์ที่ประเทศฝรั่งเศส คือ นายซาเลาะ อับเดสลาม  Salah Abdeslam วัย 26 ปี (เกิดปี 1989) เป็นชาวฝรั่งเศส เชื้อสายโมร็อคโค ที่เกิดและอาศัยอยู่ในกรุงบรัสเซลส์เบลเยี่ยม !! เคยทำงานเป็นช่างทางรถไฟที่บริษัท STIB ที่กรุงบรัสเซลส์ในปี 2009 - 2011
เขามีธุรกิจร่วมกับพี่ชาย คือ นายบราฮิม Brahim (หรือ Ibrahim) Abdeslam อายุ 31 ปี และสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ

 
ภาพเต็มๆ จากกล้องวงจรปิดของร้านอาหารในกรุงปารีส 
ขณะที่ บราฮิม อับเดลสลาม เดินเข้าไปในร้านและจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย !!

สำหรับนายบราฮิม Brahim Abdeslam อาศัยอยู่ที่เขตเทศบาลเมือง Molenbeek-Saint-Jean ซึ่งเป็นที่อาศัยของชุมชนชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ มีประวัติเป็นเจ้าของบาร์ชื่อ  Café del Beguines ซึ่งภายหลังถูกสั่งปิดหลังจากตำรวจพบว่าเป็นที่ซ่องสุมค้ายาเสพติด ซึ่งตำรวจได้บุกเข้าจู่โจมในวันที่  14 กันยายน เนื่องจากได้กลิ่นยาเสพติดออกมาจากร้านอย่างรุนแรง 
ซึ่งมีข้อมูลว่านายบราฮิมได้ขายบาร์ดังกล่าวออกไปหลังจากถูกปิดและได้เงินจำนวนมาก

พ่อค้าในละแวกใกล้เคียงบอกว่า "นายบราฮิม เป็นคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และฆ่าคน เขาไม่ใช่มุสลิมที่ดี” ซึ่งในศาสนาอิสลามห้ามการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อนบ้านที่เคยเห็นเขาเติบโตมาบอกว่า "เค้าไม่เคยย่างเท้าเข้าไปในมัสยิดเลย" เขาเป็นคนหนุ่มแบบทั่วๆ ไป ไม่ได้สนใจศาสนา 

นายกเทศมนตรี บอกว่า เขตเทศบาล Molenbeek กลายเป็นแหล่งของคนหัวรุนแรงและอาชญากรทุกรูปแบบ ซึ่งอาวุธสงครามสามารถถูกซื้อขายได้ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ด้วยเงินเพียง 500 - 1,000  Euros เป็นสถานที่ของการนองเลือดจากความรุนแรงของกลุ่มญิฮาด มีคนตกงานจำนวนมาก และเต็มไปด้วยผู้อพยพลี้ภัยครอบครัวชาวอาหรับ (แหล่งข้อมูล)

ต่อมา นายบราฮิมเสียชีวิตเพราะการระเบิดพลีชีพตนเอง ณ จุดเกิดเหตุที่ร้านอาหาร Comptoir Voltaire café ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส 


ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 คน แต่ ไม่มี ใครเสียชีวิตเพราะระเบิดดังกล่าว

ลำดับเหตุการณ์ต่อจากตอนที่แล้ว

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2015 - ตำรวจไลล่าผู้ต้องสงสัย
ตำรวจได้หยุดรถของนายซาเลาะห์ Salah Abdeslam ซึ่งขับมาจากปารีสก่อนเข้าประเทศเบลเยี่ยม และได้ปล่อยตัวไปหลักจากตรวจบัตรประจำตัว จึงทราบข้อมูลว่า นายซาเลาะห์ ได้หลบหนีเข้าไปที่ประเทศเบลเยี่ยม

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2015 - ตำรวจไล่ล่าคนร้ายในเขต Molenbeek กรุงบรัสเซลส์ เบลเยี่ยม
ตรวจสอบพบว่าผู้ต้องสงสัยใช้รถเช่าที่เช่ามาจากเขต Molenbeek ได้มีการเข้าค้นตึกในเขต Delaunoy Street และ Ransfort street โดยตำรวจเข้าทางหลังคาตึก

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2015 - ผู้บงการถูกตำรวจสังหาร
ตำรวจปฏิบัติการไล่ล่าและฆ่าผู้ก่อการร้ายตายสามราย ซึ่งรายหนึ่งในนั้น คือ นาย Abdelhamid Abaaoud ที่เชื่อว่าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรม 

ที่มาของภาพ

ประวัตินาย Abdelhamid Abaaoud


- Abdelhamid Abaaoud มีชื่ออื่นว่า Abu Omar Soussi  และ  Abu Omar al-Baljīkī 
- เกิดวันที่ 8 เมษายน 1987 และเสียชีวิตวันที่ 18 พฤศจิกายน 2015 
- เคยไปร่วมทีมปฏิบัติการและฝึกฝนของกลุ่มหัวรุนแรงในซีเรีย
- คาดว่าเป็นผู้บงการการก่อวินาศกรรมในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม
- ก่อนหน้านี้เป็นผู้เคยถูก  international arrest warrant  ในฐานะคนที่คอยสรรหาคนให้กับกลุ่ม IS ในซีเรีย
- เป็นลูกชายของ Omar Abaaoud ซึ่งเป็นผู้อพยพชาวโมร็อคโค ที่เข้ามาในเบลเยี่ยมในปี 1975
- เติบโตในเมือง Molenbeek ซึ่งเป็นแหล่งอุดมการณ์ทางการเมืองแบบ Salafi movement หรือ Salafist movement ซึ่งเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ของอิสลามซุนหนี่ ที่เติบโตดีในกลุ่มเยาวชนมุสลิม
- เข้าเรียนที่  Collège Saint-Pierre  ใน Uccle ปี 1999-2000
- ทั้ง Abdelhamid Abaaoud  และ Salah Abdeslam ถูกจับในเดือนธันวาคม 2010 เนื่องจากพยายามบุกรุกเข้าไปที่โรงจอดรถ
- นาย Abdelhamid Abaaoud เคยอยู่ในคุกมาแล้ว 3 แห่งและถูกจับได้หลายครั้ง เพราะ ข้อหาทำร้ายร่างกายและอาชญากรรมอื่นๆ 

- ในปี 2013 เขาได้พาน้องชายอายุ 13 ปี ไปซีเรียกับเขา และเดินทางออกจากซีเรียวันที่ 19 มกราคม 2014 เพราะถูกพิสูจน์ว่ากระทำความผิดฐานลักพาตัว และก่อนหน้านี้มีความผิดฐานโจรกรรม
- มีรายงานว่า เขาเข้าร่วมกับกลุ่ม ISIS ในชื่อว่า al-Battar Katiba เพื่อต่อต้านนาย Bashar al-Assad ประธานาธิบดีประเทศซีเรีย ในปี 2013 จากนั้นกลับสู่เบลเยี่ยมในปลายปีเดียวกัน 
- เขาได้ถูกบันทึกภาพและวีดีโอ โดยผู้สื่อข่าวอิสระ ชื่อ Étienne Huver and Guillaume Lhotellier ซึ่งส่วนหนึ่งมีภาพของ  Abdelhamid Abaaoud กับคนอื่นๆ ที่กำลังลำเลียงศพใส่รถบรรทุกและรถพ่วง ก่อนที่นาย  Abdelhamid Abaaoud จะหันมายิ้มให้กล้องและบอกว่า "ขอบคุณพระเจ้า เราเดินตามรอยพระเจ้า เรากำลังลากจูงพวกที่เลิกศรัทธาศาสนาและพวกนอกรีต ที่กำลังต่อสู้กับเรา"

- จากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ เขาได้มีการติดต่อกับ Mehdi Nemmouche ในเดือนมกราคม 2014  Mehdi Nemmouche เป็นนักรบญิฮาดชาว Franco-Algerian ที่ยิงและฆ่าคน 4 คน ที่ Jewish Museum ในกรุงบรัสเซลส์ ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2014 
- ทางการเบลเยี่ยมสันนิษฐานว่าเขาเป็นคนจัดการและหาทุนให้กับกลุ่มก่อการร้ายในเมือง Verviers ที่เบลเยี่ยม  ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จู่โจมในวันที่ 15 มกราคม 2015 และสมาชิกสองคนถูกฆ่า
- ในการให้สัมภาษณ์ในแมกกาซีน Dabiq ของกลุ่ม ISIS  Abdelhamid Abaaoud ได้โอ้อวดไว้ใน Social Media เกี่ยวกับการไปเบลเยี่ยมเพื่อที่จะนำกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่สามารถหนีรอดกลับมาที่ซีเรียได้ ถึงแม้ว่าจะถูกตำรวจหยุดรถ ตรวจดูภาพใบหน้าแต่ไม่สามารถจับได้ว่าเป็นเขา

- ในเดือนกรกฎาคม 2015 จากเหตุการณ์ที่ Verviers เขาจึงถูกตัดสินจำคุก 20 ปีโดยเจ้าตัวไม่ได้มาศาล (in absentia) ในฐานะผู้จัดตั้งการก่อการร้าย (Organizing terroism)
- การให้สัมภาษณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 เขาได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะต่อสู้กับคนตะวันตก ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นพวกคนของครูเสด ผู้ทำสงครามศาสนา

- เขาได้ถูกสอบสวนในฐานะที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย 4 ใน 6 ครั้งในฝรั่งเศส
- เขาได้ถูกรายงานโดย รัฐมนตรี Bernard Cazeneuve ของฝรั่งเศสว่าเสียชีวิตแล้วในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2015  และข้อมูลจากหน่วนข่าวกรอง (Intelligence) ระบุว่า เขาได้เดินทางจากซีเรียผ่านเข้ามาทางพรมแดนกรีซ และยังไม่ชัดเจนว่าเขาได้ปะปนมากับคนอพยพนับพันคน ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ประเทศอื่นใน EU ซึ่งทางการกรีซยืนกรานว่า ไม่มีหลักฐานว่า เขาเดินทางผ่านประเทศตน  แต่ยืนยันว่าเขาได้เดินทางออกจากซีเรียเมื่อปีก่อน แต่ไม่มีประเทศใดรับทราบถึงการเดินทางกลับมาของเขา !!

Abdelhamid Abaaoud และ Salah Abdeslam เคยติดคุกด้วยกันที่เบลเยี่ยม

- Abdelhamid Abaaoud มีความเชื่อมโยงกับ Sharia4Belgium ซึ่งเป็นองค์กรของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง  ซึ่งมีภารกิจที่จะทำให้เบลเยี่ยมกลายเป็น Islamist state  ซึ่งตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 โดยผู้พิพากษาและโฆษกของกลุ่ม คือ นายโฟแอด เบลกาเซม Fouad Belkacem ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 12 ปี โดยนายโฟแอด มักสอนเรื่องศาสนาตามท้องถนนและในโลกอินเทอร์เน็ต เขาไม่เคยไปซีเรีย แต่มีบทบาทในการปลุกระดมให้หลายคนเดินทางไปสู้รบในซีเรีย ซึ่งเขาได้ถูกนำตัวไปพิจารณาคดีร่วมกับบุคคลอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าส่งนักรบญิฮาดไปสู้รบในซีเรียในวันที่ 29 กันยายน

อ่านบทความย้อนหลัง
- ภัยจากผู้อพยพ ตอนที่ 1
- ภัยจากผู้อพยพ ตอนที่ 2

ภัยจากผู้อพยพ ตอนที่ 2

เหตุการณ์ในกรุงปารีสและบรัสเซลส์

มาถึงเรื่องวินาศกรรมการก่อเหตุระเบิดในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เดือนพฤศจิกายนปี 2015 และเกิดขึ้นตามมาอีกครั้งในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยมในเดือนมีนาคม ปี 2016 สั่นสะเทือนถึงมาตรการที่เข้มงวดกวดขันด้านความปลอดภัยของเมืองสำคัญทั่วโลก ทั้งตำรวจ ผู้เคราะห์ร้าย ญาติผู้เสียชีวิต ผู้ติดตามข่าว ย่อมสงสัยว่าใครเป็นคนทำ ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น  มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ เหตุการณ์นี้จะเกิดในที่ที่เราอยู่อาศัยหรือเดินทางไปหรือไม่ 

หลายท่านคงอยากทราบสาเหตุที่มาที่ไปโดยรายละเอียด ซึ่งเราได้รวบรวมข้อมูลประวัติและความเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุแต่ละราย ท่านอ่านแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนเรื่องย่อหนังเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครหลากหลาย 

ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2015 - เกิดเหตุวินาศกรรมที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส


ในช่วงกลางคืนของวันที่ 13 พฤศจิกายน 2015 ผู้ก่อการร้ายจุดระเบิดพลีชีพและกราดยิงผู้คนทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งสิ้น 7 จุด ทำให้มีคนเสียชีวิตกว่า 130 คน โดยในจำนวนนั้นมี 89 คนเสียชีวิตหลังการถูกจับเป็นตัวประกันที่ Bataclan theatre มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 368 คน  ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิตจำนวน 7 คนและตำรวจได้ออกติดตามผู้สมรู้ร่วมคิดรายอื่นๆ ซึ่งนาย  François Hollande ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกล่าวว่า เป็นปฏิบัติการสงคราม ที่ถูกวางแผนในประเทศซีเรีย หน่วยปฏิบัติการอยู่ที่เบลเยี่ยมและดำเนินการโดยความร่วมมือของคนถือสัญชาติฝรั่งเศส โดยผู้ก่อการร้ายเป็นชาวยุโรปซึ่งเคยเข้าร่วมรบในซีเรีย และ กลับเข้ามาในยุโรปพร้อมกับกลุ่มผู้ลี้ภัยสงคราม 

ภาพจาก www.telegraph.co.uk 
หลังเวลา 21.20 น.ของฝรั่งเศส  เกิดระเบิดพลีชีพ 1 ครั้ง ใกล้สนามกีฬา Stade de france โดยนาย Ahmad Almohammad อายุ 25  ปี  ในช่วงครึ่งแรกของการแข่งขันฟุตบอลฝรั่งเศสกับเยอรมนี โดย Francois Hollande ประธานาธิบดีอยู่ในสนามกีฬาด้วย ซึ่ง นาย Ahmed ถือพาสปอร์ตซีเรีย ซึ่งเข้ามาในฝรั่งเศสในฐานะผู้อพยพผ่านประเทศกรีซ จากการตรวจพบตั๋วเรือเฟอร์รี่ พบว่า เขาเดินทางพร้อมกับ Mohammed Almuhammed 


ภาพจาก www.telegraph.co.uk 

เกิดการโจมตีที่กลางเมืองปารีส โดยการกราดยิงของมือปืนที่ร้านอาหารกัมพูชา Petit Cambodge  ที่ Rue Bichat และบาร์ Le Carillon ในอีกฟากถนน มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ ซึ่งกำลังมีความสุขกับ การสังสรรค์ท่องราตรีในคืนวันศุกร์ 

มีการโจมตีด้วยอาวุธปืนแบบ kalashnikov ที่ Rue de la Fontaine au Roi เมื่อผู้ก่อร้ายขับรถเข้ามาในระยะ 500 หลาถึง Caca Nostra pizzeria และกราดยิงผู้คนตาย 5 ศพ 

จากนั้นเกิดระเบิดอีกครั้งด้านนอกของ Stade de France เมื่อคนร้ายคนที่สอง คือ นาย Bilal Hadfi ระเบิดพลีชีพตนเอง ในเวลา 21.30 ถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้เคยร่วมต่อสู้เพื่อกลุ่ม ISIS ในซีเรีย

ผู้ก่อการร้าย ขับรถไปที่บริเวณ Bataclan concert และกราดยิงอีกครั้ง ที่บาร์ La Belle Equipe ที่ถนน Rue de Charonne มีผู้เสียชีวิต 19 รายในเวลา  21.36 น. หลังจากนั้นได้ขับรถออกไป 
ภาพจาก www.telegraph.co.uk 

ตั้งแต่เวลา 09.40 Bataclan concert ที่ Boulevard Voltaire เป็นจุดที่มีคนตายมากที่สุด อย่างน้อย 89 คน ซึ่งถูกสังหารโดยมือปืนชุดดำคลุมหน้าที่ใช้อาวุธ AK-47s และเสื้อกั๊กติดระเบิดพลีชีพ โดยผู้ก่อการร้าย มี 4 คน คือ นาย Samy Amimour ชาวฝรังเศสอายุ 28 ปี และ นาย Omar Ismael Mostefai อายุ 29 ปี มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 100 คน โดยผู้ก่อการร้าย 3 คนระเบิดพลีชีพตนเอง อีก 1 คนถูกยิงตายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ  หนึ่งในนั้นมีนาย Ibrahim Abdeslam อายุ 31 ปี ที่ระเบิดพลีชีพที่ร้าน Comptoir Voltaire ซึ่งได้เช่ารถ Seat Leon สีดำ ซึ่งภายหลังพบถูกจอดทิ้งไว้ในวันอาทิตย์เช้า ที่ด้านตะวันออกของชานเมือง Montreuil สามไมล์จากจุดเกิดเหตุ

ภาพเต็มๆ จากกล้องวงจรปิดของร้านอาหารในกรุงปารีส ขณะที่ บราฮิม อับเดลสลาม เดินเข้าไปในร้านและจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย !!

ส่วนนายซาเลาะ Salah Abdeslam ที่หลบหนีกลับเบลเยี่ยม เป็นผู้เช่ารถ Volkswagen Polo ที่ใช้รับส่งผู้ก่อการร้ายติดระเบิดพลีชีพที่ฆ่าคน 89 คน
- เวลา 10.15 pm ชาวฝรั่งเศสอายุ 20 ปี ระเบิดเสื้อกั๊กติดระเบิดพลีชีพตนเอง นอกร้าน Mcdonald ที่ Rue de la Coquerie.
- ผู้ก่อการร้ายเข้าไปใน Hall และยิงกระสุนเข้าใส่คนที่เข้าชมคอนเสิร์ตนับร้อย ซึ่งกำลังชมการแสดงเพลง Death Metal ที่มีผู้ชมเต็ม 1,500 คน 
ต่อจากนั้นจึงผู้ก่อการร้ายสองคนจุดระเบิดพลีชีพเมื่อชุดตำรวจมาถึงราว 12.30am  ส่วนคนที่ 3 ถูกตำรวจยิงตาย 

นับเป็นความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดในฝรั่งเศสนับตั้งแต่มีสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสถูกโจมตีในเหตุการณ์ ที่ Charlie Hebdo offices และซุปเปอร์มาร์เก็ต a Jewish supermarket มีผู้เสียชีวิต 17 คนและได้รับบาดเจ็บ 22 คน ซึ่งกลุ่ม  Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) แสดงตนว่าเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวเพื่อโต้กลับที่ฝรั่งเศสเข้าโจมตีทางอากาศ 

อ่านต่อเรื่องภัยจากผู้อพยพ ตอนที่ 3

ภัยจากผู้อพยพ ตอนที่ 1

เรื่องที่ผู้เขียนกำลังใส่ใจก็เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายก็พึงใส่ใจให้ยิ่งกว่า  ระเบิดพลีชีพที่ไม่ได้ถูกจุดกำลังจุดระเบิดพลีชีพอีกหลายลูกติดตามมา ที่ผ่านมาเหตุการณ์ระเบิดและยิงกราดสนั่นเมืองในกรุงปารีส และการระเบิดสนามบินที่กรุงบรัสเซลส์ กำลังเป็นที่จับตามองและหวั่นวิตก ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า ผู้ก่อเหตุทั้งหมด คือ บุคคลที่มีรากฐานมาจากครอบครัวผู้อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม 

เชื่อว่าหลายท่านยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตในเมืองที่มีผู้อพยพหรือชาวต่างชาติมาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากๆ ลองนึกภาพว่า ถ้าบริเวณย่านสยามสแควร์ มาบุญครองหรือรอบหัวลำโพง กลายเป็นย่านที่มีผู้คนกว่าครึ่งเป็นคนเหล่านี้ ความรู้สึกของคนไทยจะเป็นอย่างไร เพราะเขาไม่ได้มาแต่ตัว แต่มาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเรื่องศาสนาและชาติพันธุ์ ซึ่งคนไทยต้องถามหัวใจตัวเองดูเหมือนกันว่าเมืองไทยจะมีโอกาสเป็นเช่นนี้หรือไม่ จะมีผลกระทบทางสังคมในมิติใดบ้าง

ชีวิตในดินแดนที่เปิดกว้างเรื่องการรับผู้อพยพ

ผู้เขียนถือวีซ่าประเทศนอร์เวย์ จะว่าไปแล้วก็เป็นคนแปลกหน้า มีชีวิตคล้ายๆ ผู้อพยพจากต่างชาติคนหนึ่งที่อาศัยสวัสดิการของประเทศนอร์เวย์ เช่น ค่าเล่าเรียน, ค่าตรวจสุขภาพ, ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น นอร์เวย์เปิดรับผู้อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมากในระดับที่ส่งผลถึงโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะเมืองหลวง คือ กรุงออสโล ซึ่งหนังสือพิมพ์ลงว่าในปี 2040 จะมีผู้อพยพย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ร่วมกันกว่า 47% ของจำนวนประชากร

ภาพชาวนอร์เวย์ที่ถูกทำร้ายโดยผู้อพยพ
ที่มา : Norway: Oslo Police — “We Have Lost the City”

ปัจจุบันข้างๆ สถานีรถไฟและรถบัส ศูนย์กลางคมนาคมใจกลางเมือง (Oslo Central Station) อยู่ติดกับเขตเกริ่นลันด์ Grønland ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่และทำการค้าของกลุ่มผู้อพยพ ทั้งไม่ไกลจากสถานที่ราชการ รัฐสภา มีเรื่องเล่าว่าเด็กน้อยชาวนอร์เวย์ที่เคยอาศัยบริเวณนั้น เห็นมีแต่ผู้อพยพ ถามพ่อกับแม่ว่า นี่เราอยู่ปากีสถานหรือเปล่า ในที่สุดคนนอร์เวย์ต้องย้ายออกจากบริเวณนั้นไปหาที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งตำรวจนอร์เวย์ให้ความเห็นว่า “ We Have Lost the Cityเราได้สูญเสียเมืองไปแล้ว มีคำกล่าวว่า Grøndland เป็นมุสลิมยิ่งกว่าประเทศ Moroco อีกทั้งมีเหตุการณ์รุนแรง ผู้หญิงถูกข่มขืน ผู้คนค้าขายยาเสพติดกันอย่างเปิดเผย ข้างสถานีรถไฟ มีชาวนอร์เวย์ถูกทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์สินอยู่เป็นประจำ ซึ่งมีคนรู้จักท่านหนึ่งเจอมาเหมือนกัน เขาต้องใช้เวลานานเพื่อจะฟื้นฟูสภาพจิตใจที่หวาดระแวงจากการถูกทำร้าย
 
ผู้อพยพในนอร์เวย์ได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างดีในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ที่พักอาศัยในทำเลและคุณภาพระดับเดียวกันกับที่คนนอร์เวย์อาศัยอยู่ ไม่ใช่ตึกเก่าร้างเหมือนที่เคยเห็นในประเทศอื่น เช่น ประเทศจอร์เจีย พร้อมด้วยค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน 

ข้อมูลสถิติ 67% ของผู้คนได้ลงความเห็นกันว่า 
การเข้ามาผู้อพยพจะเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาใหญ่หลวงยิ่งกว่าเดิมให้กับสังคมนอร์เวย์

ข้อมูลจาก VG สำนักข่าวใหญ่ของนอร์เวย์

รัฐบาลนอร์เวย์จึงต้องสื่อสารกับประชาชนในทุกมิติเพื่อให้เกิดสมานฉันท์ในการอยู่ร่วมกัน พยายามพูดถึงความเป็นปกติในเรื่องการย้ายถิ่นฐาน เช่น คนนอร์เวย์เองก็เข้าไปพำนักอาศัยในประเทศอเมริกาและประเทศอื่นๆ เหมือนกัน ในที่สุดคนเหล่านั้นก็หล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งกับคนในชาตินั้นได้ เด็กๆ มุสลิมหันมาเลิกใส่ผ้าคลุมหน้า ใส่กางเกงยีนส์รัดรูป มีเพื่อน มีการศึกษาและอาชีพแบบเดียวกัน 

โรงเรียนสอนภาษานอร์เวย์สำหรับผู้อพยพ

เมื่อราวปี 2009 ผู้ที่ได้วีซ่าปีต่อปีที่นอร์เวย์ จะต้องถูกบังคับให้ไปเข้าโรงเรียนสอนภาษานอร์เวย์ให้ครบตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนด เช่น 500 ชั่วโมง เพื่อให้มีสิทธิ์ที่จะขอวีซ่าอยู่ต่อในระยะยาว เข้าเรียนวันล 4 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงพฤหัส เพื่อนๆ ในห้องเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพ รู้สึกเหมือนเราไปอาศัยในห้องเรียนเขามากกว่า ส่วนใหญ่อัธยาศัยดี มีแววตาบริสุทธิ์ ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้แสดงถึงความเป็นคนรุนแรงแต่อย่างไร เพราะเป็นคนที่บาดเจ็บชอบช้ำมาแล้วจากภัยสงคราม เขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายตัวจริง 

เพียงแต่เราต้องทำใจเวลาต้องใช้ของสาธารณะร่วมกัน เพราะเขามักจะทำให้สกปรก เช่น ตักน้ำตาลชงกาแฟก็หกเลอะเทอะ, เข้าห้องน้ำก็จะทิ้งสิ่งสกปรกไว้ไม่ชำระล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย เป็นต้น คนไทยที่ทำงานช่างให้กับรัฐบาลก็จะปวดหัวกับบ้านที่ให้ผู้อพยพอยู่อาศัย มักจะอยู่ในสภาพสกปรกเสียหาย 

เรื่องศาสนาเขานั้นชาวพุทธต้องยอมแพ้ เพราะเราน่าจะไม่เคยนัดวันถือศีล 8 พร้อมกันในห้องเรียน แต่นักเรียนมุสลิมที่นี่ พอถึงเวลาถือ ศีลอด เขาถือพร้อมกันหมดเลย เรื่องศาสนาเค้าลงไปถึงระดับการปฏิบัติในครอบครัวและสังคมจริงๆ 

เรื่องผลการเรียน ถ้าเป็นระดับผู้ใหญ่ก็เรียนรู้ช้าสักหน่อย ต้องเข้าใจว่า เค้ามาจากเมืองที่มีสงคราม ไม่ได้อยู่ในสภาพบ้านเมืองปกติ ผ่านขึ้นมาตามระบบการศึกษาตามมาตรฐาน ซึ่งโดยมากกลุ่มนี้ เนื่องจากเรียนภาษาไปได้ช้า แต่ถ้าเป็นเด็กหรือวัยรุ่นก็ค่อนข้างง่าย รับได้เร็ว ไม่นานก็เป็นเหมือนชาวนอร์เวย์เต็มตัว มีอาชีพการงาน ตำแหน่งสูงๆ ไม่แพ้คนนอร์เวย์เลย 

ครูที่มาสอนภาษาก็เป็นครูที่มีคุณภาพมาก เพราะต้องทำให้คนเหล่านี้ สื่อสารภาษากับคนนอร์เวย์ให้ได้เร็วที่สุด ผู้เขียนชื่นชมในวิธีการสอนและการสร้างบรรยากาศในการเรียนของครูมาก เป็นครูที่ทุ่มเท ซึ่งสมัยก่อนเพื่อให้ได้เรียนกับครูเหล่านี้ ในเมืองไทยมักต้องเสียเงินให้กับที่เรียนพิเศษ ไม่ใช่ในโรงเรียนตามปกติ แต่ครูพิเศษๆ เหล่านี้เป็นครูปกติที่มาสอนผู้อพยพ 

สื่อมวลชนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมศีลธรรม

จากปัญหาที่เกิดขึ้น เราควรคำนึงถึงบทบาทของสื่อมวลชนไทยที่ต้องส่งเสริมศีลธรรมตามหลักพุทธศาสนาให้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นศาสนาที่ไม่ส่งเสริมความรุนแรง และไม่เคยมีสงครามระหว่างประเทศโดยเหตุผลด้านศาสนาเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ผลงานที่ดีๆ ของวงการคณะสงฆ์เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน แต่เหตุใดจึงมักลงให้เห็นแต่ข่าวร้ายๆ ในวงการพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนต้องตระหนัก ก่อนที่ปัญหาศีลธรรมในเมืองไทยจะลุกลามไปมากกว่านี้ ในกรณีที่เราอาจไม่สามารถควบคุมผู้อพยพที่จะเข้ามาในเมืองไทยได้อีกในอนาคต ภาพความรุนแรงก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน วันหนึ่งเชื่อมั่นว่าเราจะได้เห็นบทบาทของสื่อสีขาวที่ทำให้เมืองไทยมีสันติสุขด้วยศีลธรรมได้ เมื่อสื่อมวลชนยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องเราชาวไทยด้วยกันและจะทำให้ผู้คนทุกเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข (อ่านเรื่อง วิธีที่สื่อมวลชนบางพวกปั่นหัวคนไทยเพื่อรู้เท่าทัน)

เรื่องวินาศกรรมในกรุงปารีสและบรัสเซลส์ หลายท่านคงอยากทราบสาเหตุที่มาที่ไปของการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์ดูจากประวัติความเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุแต่ละราย 

อ่านแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนเรื่องย่อหนังเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครหลากหลาย

กรุณากดที่นี่เพื่ออ่านต่อ เรื่องภัยจากผู้อพยพตอนที่ 2

อะไรทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป น่าเศร้า...